>> เมื่อกล่าวถึงเรื่องการป้องกันการติดเชื้อเอชไอวี สำหรับประชาชนโดยทั่วๆไปซึ่งเป็นที่ทราบกันถึงวิธีการป้องกันเอชไอวีจากการรณรงค์ที่ผ่านมาหลากหลายวิธี เช่น “ ไม่สำส่อนทางเพศ ” หรือการมีเพศสัมพันธ์กับคู่นอนเพียงคนเดียวซึ่งเป็นที่แน่นอนว่าถ้าทุกคนทำได้โรคเอดส์คงไม่แพร่ระบาดดังเช่นทุกวันนี้เป็นแน่ “ การตรวจเลือดก่อนแต่งงาน ” เพื่อทราบสถานะของการติดเชื้อเอชไอวีก่อนแต่งงาน ซึ่งเป็นเรื่องที่ดีสำหรับการเริ่มต้นชีวิตคู่ แต่กระนั้นก็ไม่เป็นการรับรองได้ว่าจะไม่มีโอกาสติดเชื้อเอชไอวีในอนาคต “การใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้งเมื่อมีเพศสัมพันธ์กับคู่นอน” ก็ยังคงเป็นเรื่องยากสำหรับคนส่วนใหญ่ในทางปฏิบัติ “การไม่ใช้เข็มและกระบอกฉีดยาร่วมกันในผู้ใช้สารเสพติดชนิดฉีด” ในบางพื้นที่ก็ยังทำได้ยาก เช่นพื้นที่บนดอยสูงและทุรกันดาร ดูเหมือนว่ายังคงมีเหตุผลมากมายที่ยังคงเปิดโอกาสให้เชื้อเอชไอวียังแพร่ระบาดอยู่ในปัจจุบัน เรียกได้ว่าคนในสังคมเรามีความรู้แต่ในทางปฏิบัตินั้นยังทำได้ไม่ร้อยเปอร์เซนต์ นักวิทยาศาสตร์สุขภาพได้ใช้ความพยายามอย่างหนักในการคิดค้นวิธีการต่างๆ เพื่อจัดการกับปัญหาโรคเอดส์ทั้งพัฒนาวิธีการ รวมถึงตัวยาที่ใช้ในการรักษาและวิธีการป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อ เพื่อลดอัตราการเกิดผู้ติดเชื้อเอชไอวีรายใหม่ให้น้อยที่สุด ดังเป้าหมายในการป้องกันโรคเอดส์โลก ไว้ในปีพ.ศ.2556 ว่า “ Getting to Zero:เอดส์ลดให้เหลือศูนย์ ” ไม่ติด ไม่ตาย ไม่ตีตรา
>> สำหรับบทความนี้จะขอนำเสนออีก นวัตกรรมแห่งการป้องกันการติดเชื้อเอชไอวี ซึ่งกำลังอยู่ในระหว่างการศึกษาวิจัยและยังคงพัฒนาอย่างต่อเนื่องสิ่งนั้นคือสารป้องกันการติดเชื้อหรือที่เรียกกันติดปากในภาษาอังกฤษว่า Microbicide ” ไมโครบิไซด์ ” เป็นอีกหนึ่งเครื่องมือสำหรับป้องกันการติดเชื้อเอชไอวีทางเพศสัมพันธ์ซึ่งกำลังอยู่ในระหว่างขั้นตอนการศึกษาวิจัย ไมโครบิไซด์ คือ สารที่มีคุณสมบัติป้องกันการติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์ ใช้เฉพาะที่ คือช่องคลอดหรือทวารหนัก โดยมีส่วนผสมเป็นยาต้านไวรัสที่มุ่งหมายว่าจะสามารถป้องกันการติดเชื้เอชไอวีได้ ไมโครบิไซด์ได้รับความสนใจอยากกว้างขวางจากกลุ่มคนทำงานด้านเอดส์ทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นนักเคลื่อนไหวด้านสิทธิสตรี นักวิทยาศาสตร์และผู้หญิงจำนวนมาก เนื่องจากกลุ่มคนทำงานด้านมิติหญิงชายและสิทธิสตรีมองเห็นว่าไมโครบิไซด์นี้จะเป็นอีกทางเลือกในการป้องกันที่สำคัญอันจะนำมาซึ่งเพศสัมพันธ์ที่ปลอดภัยของผู้หญิงและคู่ รวมไปถึงกลุ่มชายที่มีเพศสัมพันธ์กับชายและกลุ่มสาวประเพศสองซึ่งมีเพศสัมพันธ์ทางทวารหนัก
>> เป็นที่ทราบกันดีว่าการมีเพศสัมพันธ์ทางทวารหนักซึ่งไม่มีสารคัดหลั่งตามธรรมชาติก่อให้เกิดการฉีกขาดของเนื้อเยื่อภายในช่องทวารหนักได้ง่ายเป็นสาเหตุของการแพร่และรับเชื้อเอชไอวีได้ง่ายขึ้น หากไม่มีการใช้ถุงยางอนามัย หรือแม้แต่ใช้ถุงยางอนามัยแต่ไม่มีการใช้สารหล่อลื่น หรือใช้สารหล่อลื่นที่ผิดประเภทก็สามารถทำให้ถุงยางอนามัยเกิดการฉีกขาดในระหว่างการมีเพศสัมพันธ์ทางทวารหนักได้เช่นกัน สารไมโครบิไซด์ที่กำลังดำเนินการศึกษาอยู่ขณะนี้เป็นสารที่ใช้สอดหรือทาทาง ช่องคลอดหรือทวารหนัก มาในหลายหลายรูปแบบเช่น เจล ครีม แผ่นฟิล์มบางๆ หรืออาจเป็นอุปกรณ์ซึ่งมีส่วนผสมของสารป้องกันการติดเชื้อ ปัจจุบันมีโครงการศึกษาวิจัยไมโครบิไซด์ในทวีปอัฟริกา และสหรัฐอเมริกา เฉพาะในทวีปอัฟริกามีโครงการศึกษาวิจัยใหญ่ๆอยู่ถึง 4 โครงการ และทางสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์สุขภาพ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่เองก็ได้เข้าร่วมการศึกษาวิจัยไมโครบิไซด์อยู่ 1 โครงการ โดยเป็นโครงการที่ศึกษาในกลุ่มชายที่มีเพศสัมพันธ์กับชาย และสาวประเภทสอง โครงการวิจัยนี้จะเริ่มรับอาสาสมัครในช่วงปลายปีนี้ ซึ่งจะศึกษาเกี่ยวกับความปลอดภัยและการยอมรับได้ต่อการใช้เจลไมโครบิไซด์ทางทวารหนัก โดยจะเปรียบเทียบกับการรับประทานยาเม็ดที่ชื่อว่ายาทรูวาด้า โครงการนี้ทำอยู่ในหลายประเทศ ซึ่งที่ประเทศไทยนี้ทำ 2 แห่งคือที่สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์สุขภาพ มช.และที่คลินิกชุมชนสีลม กรุงเทพที่ผ่านมา กระแสของการรณรงค์สร้างความตระหนักรู้เพื่อการมีเพศสัมพันธ์ที่ปลอดภัยที่ให้เคยรณรงค์ในเรื่อง การซื่อสัตย์และรักเดียวใจเดียว และการใช้ถุงยางอนามัยนั้น พบว่ายังคงไม่สามารถลดอัตราการติดเชื้อเอชไอวีและการติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์อื่นๆ ได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ การระบาดยังมีอยู่มาก ทั้งนี้อาจเนื่องจากผู้หญิงส่วนใหญ่ขาดอำนาจการต่อรองในการใช้ถุงยางอนามัยกับคู่ หรือแม้แต่ในชายที่มีเพศสัมพันธ์ หรือสาวประเภทสองที่มีเพศสัมพันธ์ทางทวารหนัก และมีการระบาดของโรคเอดส์สูงในกลุ่มนี้ คงจะเป็นการดีหากมีทางเลือกอื่นให้กับพวกเธอและเขาเหล่านั้นเพื่อใช้เป็นเครื่องมือในการปกป้องตัวเองให้รอดพ้นจากโอกาสแห่งการได้รับเชื้อเอชไอวีต่อไป