PEP ย่อมาจาก Post-Exposure Prophylaxis เป็นยาป้องกันการติดเชื้อเอชไอวี (HIV) ในกรณีฉุกเฉินที่ต้องรับประทานให้เร็วที่สุดหลังสัมผัสความเสี่ยงที่จะติดเชื้อเอชไอวี โดยต้องเริ่มรับประทานภายใน 72 ชั่วโมงหลังมีความเสี่ยง และรับประทานต่อเนื่องติดต่อกันนาน 28 วัน และควรอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์
ใครบ้างที่ควรได้รับยาเป็ป (PEP)
– มีเพศสัมพันธ์กับผู้ที่อาจมีเชื้อเอชไอวีและไม่ได้ใช้ถุงยางอนามัย ถุงยางอนามัยหลุดหรือฉีกขาด (ถุงแตก)
– ถูกล่วงละเมิดทางเพศ
– ใช้เข็มฉีดยาร่วมกับผู้อื่น
– ผู้ที่มีความเสี่ยงจากการทำงาน เช่น แพทย์ ทันตแพทย์ พยาบาล เจ้าหน้าที่ห้องปฏิบัติการ เป็นต้น
สารคัดหลั่ง (Body fluid) ที่ก่อให้เกิดการติดเชื้อ
สารคัดหลั่งที่ก่อให้เกิดการติดเชื้อได้ ได้แก่ น้ำอสุจิ สารคัดหลั่งในช่องคลอด น้ำไขสันหลัง น้ำในข้อ น้ำในช่องปอด น้ำในช่องหัวใจ น้ำคร่ำ และหนอง
ส่วนน้ำมูก น้ำลาย น้ำตา เหงื่อ เสมหะ อาเจียน และปัสสาวะ หากไม่มีการปนเปื้อนเลือด ถือว่ามีจำนวนเชื้อไม่เพียงพอต่อการถ่ายทอดสู่ผู้อื่น
ประสิทธิผลในป้องกันการติดเชื้อเอชไอวี
หากคาดว่าเพิ่งสัมผัสเชื้อเอชไอวีมาภายในระยะเวลาไม่เกิน 72 ชั่วโมงและรับยาเป็ป (PEP) เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ เพราะยิ่งรับยาเร็ว ยาจะยิ่งมีประสิทธิภาพ โดยตัวยานั้นสามารถป้องกันการติดเชื้อเอชไอวีได้มากกว่า 80%
การรับประทานยาเป็ป (PEP) ต้องเตรียมอะไรบ้าง
ก่อนเริ่มรับประทานยาเป็ป (PEP) ต้องซักประวัติเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นและพิจารณาว่าจำเป็นต้องรับยาเป็ป (PEP) หรือไม่ โดยแพทย์จะสั่งตรวจเลือดหาเชื้อเอชไอวี ตรวจไวรัสตับอักเสบบี การทำงานของตับและไตก่อนรับยาเป็ป (PEP) (หากติดเชื้อเอชไอวีอยู่ก่อนแล้วจะไม่สามารถใช้ยาเป็ปได้) หลังรับประทานยาครบ 28 วัน ตรวจเลือดหาเชื้อเอชไอวีซ้ำ 1 เดือนและ 3 เดือน ในช่วงนี้ควรงดบริจาคเลือด และใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธ์